‘มนุษย์’ ยังเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับการทำธุรกิจของ ‘มนุษย์’ อยู่หรือไม่?
นับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในวงกว้างเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ความหวาดกลัวก็ปกคลุมไปทั่วหัวใจของคนทุกคน ไม่เลือกชนชั้น เชื้อชาติ หรือเงื่อนไขทางสังคมใดๆ ทั้งสิ้น มีบางกลุ่มเชื่อว่าเรื่องดังกล่าวเป็นการกระทำจากพระเจ้าที่จะกวาดล้างเหล่าคนบาปทั้งหลายให้สิ้นซาก บางคนก็มองเป็นเรื่องของอาวุธสงครามชีวภาพตามทฤษฎีสมคบคิดที่สุดโต่งแบบที่เคยปักใจเชื่อกันมา ไปจนถึงการตั้งข้อสังเกตว่าโรคระบาดนี้คือการคัดสรรทางธรรมชาติรอบใหม่ของสรรพสิ่งบนดาวเคราะห์ดวงนี้
สาเหตุที่แท้จริงของปัญหาเป็นโจทย์ที่ทุกประเทศเร่งค้นหาคำตอบ ซึ่งอาจจะมีมากกว่าหนึ่งคำตอบ หรือมีหลายเวอร์ชั่นขึ้นอยู่กับชาติที่เป็นผู้กล่าวอ้าง แต่สิ่งที่จริงแท้และเป็นเรื่องที่ใหญ่กว่าในตอนนี้คือวิกฤติการณ์ที่เกิดขึ้นกับระบบเศรษฐกิจ สังคม และรูปแบบการดำเนินชีวิตของผู้คน ซึ่งผู้เชี่ยวชาญหลายสำนักประเมินว่าทุกอย่างจะเปลี่ยนไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ เป็นการสิ้นสุดลงของโลกาภิวัตน์แบบที่เราเคยรู้จัก และเศรษฐกิจแบ่งปัน (Sharing Economy) ก็อาจจะเป็นเรื่องที่ไม่เข้าท่าในอนาคตก็เป็นได้
ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะคาดเดา
กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF ออกมาพูดอย่างชัดเจนว่าตอนนี้โลกเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) แล้ว เดิมคำนี้เป็นสิ่งที่ประเทศต่างๆ กลัวนักกลัวหนาในช่วงปีที่ผ่านมา จากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน พอเกิดโรคโควิด-19 ก็กลายเป็นเรื่องที่ต้องยอมรับแต่โดยดีว่าเศรษฐกิจของโลก รายได้ของภาคธุรกิจและปากท้องของแต่ละคนคงจะแย่กว่าปีที่ผ่านมาอย่างแน่นอน กระนั้นก็ยังยากที่จะเปรียบเทียบได้ในระยะเวลาอันสั้น ว่าจะรุนแรงเทียบเท่าวิกฤติต้มยำกุ้ง 2540 หรือกระทั่งวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่ (The Great Depression) เมื่อเกือบหนึ่งร้อยปีก่อนหรือไม่ เพราะเหตุปัจจัยของแต่ละเหตุการณ์ล้วนแตกต่างกันอย่างชัดเจน ในวันที่เรายังไม่รู้ว่าตอนจบของเรื่องนี้จะเป็นเช่นไร สิ่งที่ทำกันได้คือมองไปข้างหน้าและคาดการณ์ถึงสิ่งที่น่าจะเป็นไปหลังคลื่นลมของปัญหาสงบลง เรื่องที่น่าคิดคือแรงงานมนุษย์ หรือพูดให้ถูกต้องคือร่างกายของมนุษย์ที่เราใช้งานมันทุกขณะนี้ ถือเป็นความเสี่ยงของโลกธุรกิจในอนาคตที่เราจะต้องนำมาคิดหรือเปล่า? ช่วงหลายปีมานี้เราต่างกังวลเรื่องการเข้ามาแทนที่แรงงานมนุษย์ของระบบอัตโนมัติในงานต่างๆ รวมทั้งปัญญาประดิษฐ์ที่เรียนรู้อะไรต่อมิอะไรได้รวดเร็ว ไม่เพียงแต่รับรู้ ตีความ แต่ยังคาดเดาได้แม่นยำขึ้นเรื่อยๆ
“คงยังไม่ใช่เร็วๆ นี้หรอกมั้ง” ตัวผู้เขียนเองก็เคยคิดแบบนั้น
ซึ่งคิดผิดถนัด
โรคโควิด-19 อาจเป็นตัวเร่งให้โลกใบใหม่หมุนเร็วขึ้นอีกหลายเท่าตัว มันได้ทำให้เห็นแล้วว่าหากเกิดโรคระบาดจากคนสู่คนแบบที่เป็นอยู่ ก็สามารถทำให้การผลิตชะงักงันได้ เพราะถ้าคนงานล้มป่วยลง ก็เท่ากับแรงงานหายไป สิ่งที่แย่กว่าคือคนที่ป่วยอาจจะแพร่เชื้อให้กับคนอื่นๆ ในโรงงาน จนทำให้ต้องปิดโรงงานไปโดยปริยาย ยังไม่นับรวมค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เกิดขึ้นในรูปแบบสวัสดิการที่บริษัทจะต้องช่วยเหลือพนักงานตามสมควรอีก และส่วนที่แย่ไปกว่านั้นคืองานบริการที่เราเคยเน้นย้ำกันว่า Hi-Touch หรือทักษะการบริการที่เอาใจใส่ สัมผัสระหว่างคนด้วยกัน คือสิ่งที่เครื่องจักรและเทคโนโลยี หรือ Hi-Tech เอาชนะไม่ได้ ทุกวันนี้ก็ยังเป็นจริงอยู่ แต่ดูเหมือนโรคระบาดจะยิ่งทำให้เราห่างกันมากขึ้น อย่างไรเสียก็ต้องเอาชีวิตรอดกันก่อน จึงเกิดคำว่าระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) อย่างที่เป็นอยู่ และเบียด Hi-Touch จนตกขอบออกไปพักข้างเวที
ผู้ประกอบการหลายรายเริ่มเห็นความสำคัญของการพัฒนาโครงสร้างของธุรกิจให้สอดคล้องกับระบบอัตโนมัติมากยิ่งขึ้น การลงทุนในเครื่องจักรและเทคโนโลยีใหม่เพื่อใช้ทดแทนแรงงานมนุษย์อาจจะมีมากขึ้นกว่าเดิม เพราะในมุมของนักธุรกิจแล้ว การหยุดผลิตหรือหยุดให้บริการถือเป็นเรื่องที่ใหญ่มาก ทำให้ขาดรายได้ทันที แม้จะดูเหมือนลงทุนสูงกว่าในระยะแรก แต่เครื่องจักรก็อาจจะให้ผลตอบแทนที่คุ้มกว่าในระยะกลางและระยะยาว เพราะไม่ป่วย ไม่มีโรคติดต่อ เสียก็ซ่อมหรือเปลี่ยนอะไหล่ได้ ไม่ต้องจ่ายค่าสวัสดิการต่างๆ ไม่ต้องมีสหภาพแรงงานที่พร้อมจะกดดันผู้บริหารหากจำเป็นต้องลดต้นทุน หรือลดจำนวนพนักงานลง ที่สำคัญยังส่งมอบงานได้อย่างคงเส้นคงวาอีกด้วย
เดิมคิดว่าอีก 10 ปีค่อยลงทุน ก็เปลี่ยนความคิดว่าทำตอนนี้เสียเลย
ส่วนเมกะเทรนด์ที่เราพูดกันมานานแล้ว คือการเข้าสู่สังคมเมือง (Urbanization) ที่จะเกิดการเคลื่อนย้ายถ่ายเทประชากรไปสู่พื้นที่ที่เจริญกว่ามากยิ่งขึ้น เราจะเห็นว่าแนวคิดของที่อยู่อาศัยในปัจจุบันโดยเฉพาะคอนโดมิเนียมนั้นมีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ เน้นการเชื่อมต่อกับระบบขนส่งสาธารณะที่สะดวกสบาย รองรับไลฟ์สไตล์ที่ผู้คนออกมาใช้ชีวิตนอกบ้าน พบปะกัน แล้วกลับบ้านมาเพื่อนอนหลับพักผ่อน แต่พอเกิดโรคระบาด ต้องรักษาระยะห่างทางสังคม เก็บตัวอยู่กับบ้าน กลายเป็นผู้คนเริ่มเห็นความสำคัญของพื้นที่ในการอยู่อาศัย และพบว่าคอนโดมิเนียมทั้งหลายไม่ได้ออกแบบมาเพื่อรับมือกับสถานการณ์แบบนี้เลย
ดูเหมือนความหวาดกลัวจะชนะทุกอย่างในตอนนี้ จนกว่าจะมีทางออกที่ชัดเจนว่ามนุษย์สามารถเอาชนะโรคโควิด-19 ได้อยู่หมัดแล้ว ระหว่างนี้ผู้คนต่างก็หวาดระแวง จะเดินทางไปไหนก็กังวล จะหยิบจับหรือกินอะไร ก็คิดแล้วคิดอีก
สิ่งที่เห็นชัดเจนจากการเปลี่ยนแปลงของโลกธุรกิจที่ผ่านมา คือพลังของแพลตฟอร์มทั้งหลายที่เราใช้งานจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ขาดไม่ได้ ร้านอาหารชื่อดังที่เคยขายดี ไม่ง้อลูกค้า และไม่คิดจะทำบริการจัดส่งอาหาร ก็ถูกบังคับให้ต้องเปลี่ยนวิธีหาเงิน เพราะถ้าไม่ทำก็ไม่รอด มีร้านอาหารจำนวนมากที่ยื่นเรื่องขอเข้าไปอยู่ในพื้นที่ของ Grab Food, Line Man, Food Panda และแบรนด์อื่นๆ ที่กำลังทำตลาดอย่างดุเดือด ยอดการจัดส่งอาหารตามบ้านเติบโตยิ่งกว่าก้าวกระโดดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ถึงขั้นบางสำนักข่าวนำเสนอรายได้ของพนักงานส่งสินค้าว่ามีรายได้มากกว่าครึ่งแสนในช่วงที่ผ่านมา
ทุกครั้งที่เกิดวิกฤติใหญ่ผู้บริโภคจะปรับตัวและเกิดชุดพฤติกรรมใหม่ๆ ที่เราเรียกกันว่า New Normal เสมอ บริษัทระดับโลกอย่างนีลเส็น ประเทศไทย ได้ให้ข้อมูลว่ารูปแบบการซื้อของออนไลน์เริ่มเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน เดิมสินค้าขายดีจะเป็นเครื่องสำอางกับผลิตภัณฑ์แม่และเด็ก แต่เมื่อผู้คนหลีกเลี่ยงการเดินทางออกไปข้างนอก ห้างสรรพสินค้าปิดให้บริการ ยอดขายของสินค้าอุปโภคบริโภคกลับเติบโตมากขึ้นแทบทุกประเภทสินค้า ทั้งที่ก่อนหน้านี้เรามักจะเลือกซื้อสินค้าดังกล่าวเองเวลาที่ไปเดินซูเปอร์มาร์เก็ตหรือร้านค้าใกล้บ้าน ไม่ได้ซื้อกักตุนเอาไว้ เพราะจะซื้อใช้เมื่อต้องการเท่านั้น ขณะเดียวกันตัวเลขของผู้สูงอายุที่หันมาสั่งสินค้าออนไลน์ก็เพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญสอดรับกับบรรดาแบรนด์ค้าปลีกที่เร่งสร้างกองทัพพนักงานจัดส่งสินค้าเพื่อรักษาธุรกิจของตัวเองเอาไว้
อย่างไรก็ตาม ถ้าต้องอยู่บ้านต่อไปอีกนานเท่านานจริงๆ ผู้บริโภคจะเริ่มหันมาซื้อสินค้ากลุ่มอื่นนอกจากของจำเป็นสำหรับการยังชีพมากขึ้นเพื่อปลอมประโลมและดูแลจิตใจของตนเองดังเช่นที่เคยเป็นก่อนวิกฤติการณ์ เราอาจจะเห็นการจัดส่งช็อกโกแลต ไวน์ หรือผลิตภัณฑ์ที่เป็นของฟุ่มเฟือยมากยิ่งขึ้นในอนาคต เช่นเดียวกับการสร้างความบันเทิงและประสบการณ์ใหม่ๆ อย่าง Augmented Reality (AR) หรือ Virtual Reality (VR) ที่จะไม่ใช่ของเล่นสำหรับเด็กเนิร์ดอีกต่อไป เป็นไปได้ที่เราจะดูคอนเสิร์ตของศิลปินที่ชื่นชอบ การแข่งขันกีฬานัดสำคัญ หรือกระทั่งงานประชุมขนาดใหญ่ได้เองแบบเรียลไทม์ที่บ้าน ในวันที่โลกยังไม่ปลอดภัยสำหรับการรวมตัวกันของคนจำนวนมากแบบนี้
โลกกำลังจะพบกับ New Normal เช่นเดียวกับพวกเราที่กำลังเผชิญหน้าความท้าทายที่รุนแรงและรวดเร็วกว่าการเปลี่ยนแปลงด้านดิจิทัล (Digital Disruption) หลายเท่าตัว ทางข้างหน้าไม่สดใสเลย ตัวเลขคนว่างงาน จำนวนกิจการที่ต้องปิดตัวจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย รวมทั้งความเสียหายที่ประเมินค่าไม่ได้จากบาดแผลที่โรคโควิด-19 ทิ้งเอาไว้ คือเรื่องที่เราต้องเจอ ความจริงที่เราต้องฟัง ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนเดินต่อไปข้างหน้าด้วยกัน รอคอยวันที่เราจะได้หันมามองหน้ากัน
Comentarios