"เราไม่ได้บอกให้คุณชดเชยเรื่องคาร์บอนด้วยการควักเงินให้คนอื่นไปปลูกต้นไม้ที่แอฟริกาเมื่อป่าแอมะซอนถูกทำลายล้าง การปลูกต้นไม้เป็นเรื่องที่ดี แต่นั่นมันไม่พอ และไม่สามารถทำให้สิ่งแวดล้อมที่เสียไปคืนกลับมาได้หรอก”
เกรตา ธันเบิร์ก นักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมคนดังกล่าวสุนทรพจน์ที่มีเนื้อหาตอบโต้และจิกกัดประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกาอย่างชัดเจน หลังจากเจ้าตัวประกาศจะปลูกต้นไม้ 1 ล้านล้านต้น และเหน็บเธอว่าเป็นพวกมองโลกในแง่ร้าย ทั้งคู่ปรากฏตัวในงานประชุมใหญ่ประจำปี World Economic Forum 2020 ที่เมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเป็นเวทีสำคัญที่ผู้นำระดับโลก ผู้นำสูงสุดของทุกอุตสาหกรรม นักวิชาการ และสำนักข่าวต่างๆ จะต้องไปร่วมงานเพื่อแสดงเจตจำนงในการกำหนดทิศทางของเศรษฐกิจและธุรกิจเพื่อเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ให้ดีขึ้น
แต่โลกใบนี้ก็ยังไม่ดีขึ้นกว่าเดิม ที่แย่คือสิ่งแวดล้อมของดาวดวงนี้กลับถูกคุกคามมากขึ้นเรื่อยๆ จนอยู่ในระดับที่วิกฤตแล้ววิกฤตอีก
ทาง WEF ออกรายงานชื่อ The Global Risk Report 2020 โดยระบุว่าความเสี่ยงที่ส่งผลกระทบในวงกว้างมากที่สุดของโลกในปีนี้ คือความล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ (Climate Action Failure) ซึ่งสะท้อนความล้มเหลวในอีกหลายมิติ ทั้งธรรมาภิบาลโดยรวมของแต่ละประเทศที่บิดเบี้ยว ความเสียหายที่เกิดจากน้ำมือของมนุษย์ อากาศที่แปรปรวนซึ่งนำไปสู่การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ ปัญหาการขาดแคลนอาหารและน้ำ รวมทั้งการย้ายถิ่นฐานเพื่อหนีตายจากภัยคุกคามทางธรรมชาติ
ในวันที่ทุกคนต่างตั้งหน้าตั้งตารอคอย ‘สมดุลใหม่’ (New Balance) ของเศรษฐกิจหลังจากที่ทุกชาติอ่อนล้าจากความตึงเครียด ทั้งการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน สองชาติมหาอำนาจที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุด และใช้ทรัพยากรทางธรรมชาติมากที่สุดในเวลาเดียวกัน ยังมีไฟป่าเกิดขึ้นไม่หยุดหย่อนในพื้นที่สำคัญทั่วโลก ฝุ่นขนาดเล็กและควันพิษลอยละล่องเข้าสู่ปอดของเด็กนักเรียนที่เดินไปโรงเรียนบนทางเท้าสกปรกในเมืองที่แทบจะไม่มีต้นไม้ใหญ่ให้เห็น
โลกทุกวันนี้มีนักเคลื่อนไหวในหลายประเทศออกมาเรียกร้องให้ภาคธุรกิจยกเลิกการใช้ถุงพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง ขณะที่อีกซีกโลกยังมีคนค่อนประเทศที่ไม่มีแม้แต่เงินจะซื้อข้าวกิน ค่อนข้างชัดเจนว่ากลุ่มประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลายที่เราเรียกกันอย่างสวยหรูว่า ‘ประเทศเกิดใหม่’ คือพื้นที่ที่ถูกทุนจากประเทศขนาดใหญ่เข้ามารุมทึ้งและสูบกินทรัพยากรอย่างน่าเป็นห่วง ทั้งมิติด้านอุตสาหกรรม การท่องเที่ยว และสังคมที่ส่งผลโดยตรงกับสภาพแวดล้อม ซึ่งสอดคล้องกับภาวะความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจที่ทำให้ช่องว่างของแผ่นดินระหว่างคนรวยและคนจนถ่างออกไปมากยิ่งขึ้น ความล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมและความเหลื่อมล้ำในสังคมดูเหมือนจะเป็นเรื่องเดียวกัน
ผู้เขียนได้ไปเข้าร่วมงานนี้ในฐานะนักข่าวคนหนึ่งจากประเทศไทย มีโอกาสได้พูดคุยกับ ดร. วิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งได้เข้าประชุมกับบรรดาธนาคารกลางจากชาติต่างๆ ทั่วโลก นอกจากประเด็นคริปโตเคอเรนซี (Cryptocurrency) ที่ตอนนี้วงการการเงินและผู้กำกับดูแลเสถียรภาพต่างจับตา และหยิบยกขึ้นมาหารือกันแล้ว ประเด็นเรื่องการธนาคารเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Banking) ถือเป็นอีกเรื่องที่แบงก์ชาติจะผลักดันให้มากขึ้นนับจากนี้ด้วย
ดร. วิรไทเล่าว่าสถาบันการเงินอาจจะเป็นต้นตอสำคัญในการร่วมกันก่อปัญหาสิ่งแวดล้อม เพราะเป็นต้นน้ำของทุนที่ปล่อยกู้ให้กับบริษัทอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ โดยที่เงื่อนไขการให้สินเชื่อจะพิจารณาจากสถานะทางการเงิน ความสามารถในการทำรายได้ และตัวเลขกำไรขาดทุน โดยไม่ได้คำนึงถึงเรื่องประเภทของธุรกิจ สินค้าและบริการที่อาจจะส่งผลกระทบกับระบบนิเวศ เราจึงเห็นปัญหาไฟป่าในอินโดนีเซีย ซึ่งบางส่วนเป็นผลพวงจากการทำธุรกิจจากกลุ่มทุนประเทศใกล้เคียง หรือกระทั่งบรรดานายหน้าที่สวมบทเป็นผู้นำเข้าขยะอันตรายจากประเทศพัฒนาแล้ว นำมากลบฝังในบ้านเกิดเมืองนอนของตนเอง และสุสานขยะทั้งหลายก็มักจะตั้งอยู่ห่างไกลจากบ้านของนายทุนที่กำลังนอนหลับสบาย ไม่รู้ร้อนรู้หนาว
แน่นอนว่าจากนี้เราจะได้เห็นการปรับใช้กฎเกณฑ์ต่างๆ ที่จะนำมาบังคับใช้เพื่อให้ภาคเอกชนต้องปรับตัวและเปลี่ยนวิธีการดำเนินธุรกิจเพื่อให้สอดคล้องกับทิศทางของการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับธนาคารพาณิชย์ บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง คงไม่เพียงแต่ประเทศไทยเท่านั้น แต่จะเกิดขึ้นทั่วโลก แม้จะเป็นการเคลื่อนที่ไปข้างหน้าด้วยความเร็วที่แตกต่างกันก็ตามที
‘น้อยแต่มาก’ ของประเทศกำลังพัฒนาอาจจะหมายถึงงบน้อย แต่มีปัญหาให้แก้มาก แก้ยังไงก็ไม่ดีขึ้นเสียที
แม้ในงาน WEF 2020 จะเน้นเรื่องการร่วมมือกันเพื่อผลประโยชน์ของผู้มีส่วนได้เสีย (Stakeholders) ของธุรกิจ ซึ่งไม่ได้นับแต่ตัวบริษัท ลูกค้า ผู้ที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทาน และการขนส่งทั้งหลาย แต่ยังรวมถึงชุมชนและผู้ที่จะได้รับผลกระทบจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจจากธุรกิจนั้นๆ ด้วย แต่ดูเหมือนว่าแนวคิดเรื่องทุนนิยมเพื่อผู้มีส่วนได้เสียทุกคน (Stakeholders Capitalism) จะยังถูกท้าทายและตีราคาเป็นเพียงแค่คำพูดเท่ๆ เท่านั้น เพราะปีนี้ไม่ใช่ปีแรกที่เวทีดังกล่าวหยิบยกเรื่องสิ่งแวดล้อมขึ้นมาชูเป็นประเด็นสำคัญ และไม่ใช่ครั้งแรกที่นักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมออกมาพูดท้าทายด้วยความขุ่นเคืองใจให้โลกได้ยิน
และสามวันหลังจากที่เกรตาขึ้นพูดในงาน WEF 2020 เธอก็กลับมาพร้อมกับเพื่อนเยาวชนนักเคลื่อนไหวอีกครั้ง และแสดงความไม่พอใจที่ข้อเรียกร้องให้หยุดลงทุนในธุรกิจขุดเจาะและสำรวจพลังงานฟอสซิลโดยทันที (ซึ่งแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย) นั้นไม่เป็นผล
เธอกล่าวว่าผู้นำของธุรกิจทั้งหลายต่างเพิกเฉย และไม่ได้จริงใจกับการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมกันอย่างที่ควรจะเป็นในเวทีที่นำประเด็นเรื่องสิ่งแวดล้อมมา ‘เล่นใหญ่’ ขนาดนี้ เหมือนหนังม้วนเดิมที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก
ผู้เขียนได้สอบถามผู้เข้าร่วมงาน ซึ่งล้วนแต่เป็นผู้นำระดับสูงสุดขององค์กรที่มีชื่อเสียง พบว่าเวทีประชุมใหญ่ที่ดาวอสนี้ นอกจากเป็นเวทีในการแสดงตัวของบุคคลสำคัญทั้งหลายแล้ว ยังเป็นพื้นที่เพื่อการพบปะ สานต่อเครือข่ายทางธุรกิจที่เกิดขึ้นจากทั่วทุกมุมโลกอีกด้วย พื้นที่นั่งด้านนอกห้องประชุมแน่นขนัดไปด้วยวงสนทนาทางธุรกิจ มีตัวแทนผู้ประสานงานเดินขวักไขว่คอยดูแลแขกรับเชิญจากโลกธุรกิจทั้งหลายที่ล้วนแต่เป็นระดับ VVIP ทั้งสิ้น จนอดคิดไม่ได้ว่าบางคนนั้นจะได้เข้าไปฟังที่เกรตาพูด หรือต้องน้ำตาคลอให้กับภาพของชาวบ้านที่เดินเท้าไปหลายกิโลเมตรในพื้นที่ทุรกันดารเพื่อหาบถังน้ำเข้าบ้านบ้างหรือไม่
มองกลับมาที่ประเทศไทย เมื่อกางร่างงบประมาณแผ่นดินปี 2563 วงเงิน 3.2 ล้านล้านบาทออกมาดูแล้ว พบว่ามีการจัดสรรส่วนที่จะนำไปปรับปรุงและพัฒนาด้านสิ่งแวดล้อมเพียง 1.3 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็นเพียง 0.4 เปอร์เซ็นต์ของงบประมาณทั้งหมด เทียบไม่ได้เลยกับงบประมาณของประเทศในสหภาพยุโรปที่ตั้งเอาไว้ที่ 1.6 เปอร์เซ็นต์ หรือกระทั่งประเทศจีนเองก็ยังเตรียมเอาไว้ถึง 2.5 เปอร์เซ็นต์ แม้จะมีนักวิชาการประเมินความเสียหายทางเศรษฐกิจที่เกิดจากปัญหาฝุ่นขนาดเล็ก PM 2.5 สูงนับแสนล้านบาท แต่กลับมีตัวเลขเงินที่จะใช้จัดการเรื่องนี้โชว์หราในหลักร้อยล้านบาทเท่านั้น
‘น้อยแต่มาก’ ของประเทศกำลังพัฒนาอาจจะหมายถึงงบน้อย แต่มีปัญหาให้แก้มาก แก้ยังไงก็ไม่ดีขึ้นเสียที
ธุรกิจยังคงผลิตและขายต่อไป เช่นเดียวกับข้อเรียกร้องเรื่องการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ถูกพูดซ้ำแล้วซ้ำอีก เสียงตะโกนของเกรตาและเพื่อน รวมถึงนักเคลื่อนไหวทั้งหลายยังคงดังเป็นระยะๆ บนโลกใบเดิมที่อาการน่าเป็นห่วงขึ้นเรื่อยๆ
ไม่มีใครรู้ได้เลยว่าเสียงของนักประท้วงกับเสียงลมหายใจของมนุษย์ อย่างไหนจะหายไปก่อนกัน
ดูข่าวต้นฉบับ: https://www.gqthailand.com/views/article/world-on-fire
Comments